อยากเก่งก็ต้องเปลี่ยนสภาพแวดล้อม
จากการสังเกตเหตุการณ์รอบๆตัวผมหลังๆมานี้ผมคิดว่าสภาพแวดล้อมส่งผลต่อความสำเร็จหรือความล้มเหลวของผมมากกว่าที่ผมคิดไว้เยอะเลย
จริงอยู่ที่ ความขยัน ซื่อสัตย์ อดทน นั้นเป็นสิ่งสำคัญ แต่อีกสิ่งหนึ่งที่มีความสำคัญมากๆก็คงจะหนีไม่พ้นสภาพแวดล้อมครับ
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณไปโรงเรียนหรือไปทำงานสาย เราก็มีแนวโน้มที่จะโทษสภาพแวดล้อมว่า “รถโคตรติด”
เวลาเพื่อนๆสอบตกก็มีแนวโน้มที่จะโทษสภาพแวดล้อมว่า “โรงเรียนสอนไม่ดี”
ทำงานไม่ทัน ก็มีแนวโน้มที่จะโทษสภาพแวดล้อมว่า “ก็ทุกคนมัวแต่อ่านข่าวดราม่า ซุปซิป นินทา ไม่ยอมทำงาน”
เห็นไหมครับเวลาเกิดเรื่องแย่ๆสภาพแวดล้อมมักตกเป็นจำเลยเสมอเสมอ
ที่นี้ลองมาดูเรื่องดีๆกันบ้าง
ถ้าคุณไปสอบทันเวลาหรือไปประชุมทันเวลา คุณจะมีแนวโน้มที่จะคิดว่า “เรานี่มันก็ใช้ได้นะเป็นคนตรงต่อเวลาเสียจริงๆ”
ถ้าคุณสอบผ่าน คุณก็มีแนวโน้มที่จะคิดว่า “ฉันนี่มันโคตรเก่งฉลาดจริงๆ”
เห็นไหมครับ เวลาเจอเรื่องดีๆคุณมักจะไม่ค่อยให้คำชื่นชมกับสภาพแวดล้อมสักเท่าไหร่ แต่เวลามีเรื่องแย่ๆมักจะโทษสภาพแวดล้อมเป็นอย่างแรก
ผมเชื่อว่าสภาพแวดล้อมนั้นเกี่ยวข้องกับเราทั้งเวลาที่เจอเรื่องดีและเรื่องไม่ดีครับ แล้วผมก็ยังเชื่ออีกว่าคนที่ทำงานอย่างหนักและประสบความสำเร็จนั้นมีจุดมุ่งหมายที่จะเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมให้ดีขึ้น ส่วนคนที่ยังไม่ประสบความสำเร็จดูเหลอะแหละ ย่ำอยู่กับที่ ไม่ไปไหนสักที บางทีอาจเป็นเพราะเขาอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เลวร้าย แต่ยังไม่รู้ตัวก็เท่านั้นเอง
หรือพูดให้เข้าใจง่ายขึ้นก็คือ เมื่อเราอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมที่สุด เราก็มีโอกาสมากที่สุดที่จะประสบความสำเร็จได้ ดังนั้นการพาตัวเองไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมจึงสำคัญอย่างยิ่ง
อย่างที่ผมได้บอกไปหลายครั้งแล้วว่า “บ่อน้ำมันไม่เคยเดินไปหาควาย ถ้าควายหิวน้ำมันต้องเดินไปหาบ่อน้ำ”
เหมือนกันเลยครับถ้าวันนี้คุณยังไม่เก่งในการเล่นบาสเกตบอล นั่นอาจจะเป็นเพราะว่าสภาพแวดล้อมที่เพื่อนๆอยู่นั้นไม่ดีก็เป็นได้
ข่าวดีก็คือ เราสามารถเปลี่ยนสภาพแวดล้อมได้ครับ
เราสามารถพาตัวเองออกไปหาสภาพแวดล้อมใหม่ๆได้เสมอ หรือเราจะสร้างมันขึ้นมาเองก็ยังสามารถทำได้ ยกตัวอย่างเช่น
เล่นบาสแถวบ้านเล่นมาเป็นปีไม่เก่งขึ้นเลย ผมแนะนำว่าให้ลองออกไปเล่นให้ไกลขึ้นมานิดหน่อย ไปลองเจอผู้คนในสนามอื่นบ้าง
เผื่อคุณจะเจอเพื่อนใหม่ๆ สภาพแวดล้อมใหม่ๆ ที่ชักนำพาให้คุณไปสู่สถานการณ์ใหม่ๆ ที่อาจจะทำให้คุณเก่งขึ้นมาก็เป็นได้ ใครจะรู้
แต่ถ้าคุณยังอยู่ที่เดิม ผมรับประกันได้เลยว่า ฝีมือของคุณจะไม่พัฒนาขึ้นต่อไป เพราะสภาพแวดล้อมที่คุณอยู่นั้น เอื้อประโยชน์ให้คุณเก่งได้เท่าที่คุณเป็นอยู่
เคยมีคนกล่าวว่า ในระยะยาวคุณจะเป็นค่าเฉลี่ยของคน 5 คนรอบตัวคุณ ที่คุณใช้เวลาด้วยมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็น วิธีคิด นิสัย สุขภาพ ความฝันหรือแม้แต่เงินในบัญชี
คุณไม่มีทางจะเก่งกว่าเพื่อนที่คบหาอยู่ตอนนี้ ถ้าคุณอยากเก่งกว่านี้คุณก็ต้อง ออกไปฝึกกับคนที่เก่งกว่าคุณ
ตัวอย่างที่ผมเห็นได้ชัดเจนก็คือ ตอนที่ผมเป็นนักเรียน ผมเป็นรุ่นพี่ปี 2 ฝีมือก็ธรรมดา แต่รุ่นน้องของผมที่อยู่ปี 1 ได้โอกาส ให้ไปร่วมฝึกซ้อมกับทีมบาสเกตบอลโรงเรียนชื่อดังแห่งหนึ่ง แถวจรัญสนิทวงศ์ (นี่คือการเปลี่ยนสภาพแวดล้อมที่เห็นได้ชัดครับ)
รุ่นน้องของผมคนนี้ รูปร่างดีตัวสูงใหญ่ แต่ยังยิงไม่ค่อยแม่น แต่เมื่อน้องเขาได้โอกาส เขาก็เดินทางไปซ้อมทุกวัน กลับมาเรียนให้ทัน ซ้อมแต่เช้าตื่นแต่ตี 4:00 น ซ้อมเสร็จโหนรถเมล์กลับมาเรียนให้ทัน (โรงเรียนเราอยู่สะพานใหม่ โรงเรียนชื่อดังอยู่ จรัญ ฯ ไม่เห็นมันบ่นซักคำว่า เหนื่อย ว่าเดินทางลำบาก) 15:00 โหนรถเมล์ ออกไปซ้อม ที่โรงเรียนชื่อดัง (พวกผมอยู่โรงเรียนประจำกันนะครับ ลองนึกภาพว่ามันจะยุ่งยากลำบากขนาดไหน เรื่องการเดินทาง)
แต่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นนั้นเหรอครับ ภายในไม่กี่เดือนรุ่นน้องของผมคนนี้พัฒนาเรื่องการชู้ตขึ้นมาได้อย่างเห็นความแตกต่าง (ไม่รู้มันไปซ้อมแบบไหนมา?)
เวลาซ้อมด้วยกันน้องมันยิงแม่นขึ้นกว่าเดิมเยอะมาก จนพวกผมปล่อยให้ชู้ตโล่งๆไม่ได้อีกแล้ว
สุดท้ายน้องผมคนนี้ก็ติดเยาวชนทีมชาติ และไต่ไปจนถึงทีมชาติไทยชุดใหญ่ ได้สำเร็จ
ถ้าน้องคนนี้ยังซ้อมอยู่กับพวกผม ก็คงจะไม่มีโอกาสพัฒนาฝีมือจนถึงระดับติดทีมชาติได้อย่างแน่นอน
เพราะสภาพแวดล้อมโดยแท้ๆครับ

ขอดักไว้ก่อนว่า ถ้าตอนนี้ในหัวของเพื่อนๆมีข้ออ้างต่างๆนานา เช่น ก็ผมมันจน ผมไม่มีโอกาส ที่บ้านไม่สนับสนุน ผมไม่กล้า ใครมันจะให้โอกาสคนอย่างผม บ้านอยู่ไกล แถวบ้านไม่มีบาสเกตบอลให้เล่น
และข้ออ้างต่างๆนานาที่จะพาคุณไปสู่ความล้มเหลว ผมบอกได้เลยตรงนี้ว่า คนสำเร็จไม่มีข้ออ้างครับ เขาจะคิดหาทางทำให้มันเป็นจริง ไม่ใช่คิดหาข้ออ้างมาทำให้มันล้มเหลว
และผมหวังใจเป็นอย่างยิ่งว่า พวกคุณน่ะเลิกหาข้ออ้างให้ตัวเองได้แล้ว แล้วออกไปสร้างตำนานของตัวเองตั้งแต่บัดนี้ สวัสดี